ปักหมุด 10 สิ่งต้องทำ รวมที่เที่ยวจังหวัด Miyazaki สีสันแห่งคิวชู

ถ้านึกถึงต้นตำรับเมืองแห่งรีสอร์ทของญี่ปุ่นต้องนึกถึงจังหวัด มิยาซากิ (Miyazaki, 宮崎) หนึ่งจังหวัดที่เรียกได้ว่าเป็นสีสันของภูมิภาคคิวชู และตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของภูมิภาคคิวชูค่ะ ที่จังหวัดแห่งนี้โดดเด่นไปด้วยธรรมชาติที่งดงามติดทะเล ไม่ว่าจะหันไปทางไหนจะได้เจอกับต้นปาล์มเรียงรายไปรอบเมืองแม้แต่ตามถนนหนทางในตัวเมืองเองก็มีต้นปาล์มปลูกเป็นแนวยาว ที่เห็นแล้วไม่คุ้นตาสำหรับในญี่ปุ่นเลย ด้วยที่ตั้งที่อยู่ทางตอนใต้ และสภาพภูมิอากาศค่อนข้างอบอุ่น ที่จังหวัดนี้เลยมีรีสอร์ทที่พักผ่อนตากอากาศเกิดขึ้นมากมาย และในช่วงฤดูหนาวที่นี่ก็เป็นที่เก็บตัว ฝึกซ้อมของนักกีฬาต่าง ๆ เช่น นักกีฬาเบสบอลต่างก็มาเก็บตัวกันที่นี่

นอกจากนี้ในจังหวัดมิยาซากิยังมีแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน รวมถึงศาลเจ้าระดับตำนานที่ควรค่าแก่การไปเยือน และยังมีอาหารท้องถิ่นที่ควรต้องลองเช่น เนื้อวัวมิยาซากิ, ไก่มิยาซากิจิโดริ, ไก่ทอดนัมบัง เป็นต้น ถ้าเพื่อน ๆ พร้อมกันแล้วไปอ่านที่เที่ยวกันต่อได้เลยค่ะ

1.หุบเขาทาคาชิโฮ สวย สุดอลังการงาน unseen ที่ Miyazaki คิวชู

หุบเขาลึกลับ ทาคาชิโฮ (Takachiho Gorge) ที่เกิดจากธรรมชาติหลายพันปี กำแพงหินที่เกิดจากลาวาที่ไหลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟ Aso กำแพงหินสีเทาดำริ้วแนวนอน และริ้วแนวตั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สูงกว่า 70 เมตร ตัดกับสีน้ำเงินอมเขียวของแม่น้ำ Gokase ที่ไหลผ่าน บวกกับเสียงซู่ซ่าของน้ำตก Manai ที่สูง 17 เมตร แต่ถ้าวัดจากจุดสูงสูงของน้ำตกไปจนล่างสุดจะมีความสูงที่ 23  เมตร น้ำตก Manai ที่ถือว่าเป็นน้ำตกที่สวยติดอันดับ 1 ใน 100 น้ำตกของญี่ปุ่น ช่างดึงดูดให้เหล่าฝีพาย ต้องพายเรือเข้าไปชมกันใกล้ ๆ
ภาพนี้ครบทุกสิ่งอย่าง ทั้งเรือพาย หินลาวา สะพาน และน้ำตก
ถ่ายย้อนออกไปก็สวยได้เห็นทั้งน้ำตก และสะพานที่อยู่ด้านบน
มุมนี้ก็สวยมาก ได้เห็นน้ำตก และเรือที่พายอยู่ด้านหน้า
ไฮไลท์ของการมาเยือนที่นี่ก็คือ การพายเรือชมความงามของน้ำตก Manai แบบใกล้ ๆ และชื่นชมกำแพงหินลาวาจากภูเขาไฟ Aso ที่เป็นริ้ว ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติแบบว้าวมาก ๆ เลยค่ะ นอกจากนี้เรายังสามารถให้อาหารน้องเป็ดได้นะคะ ค่าอาหาร 200 เยน เพราะน้องเป็ดเยอะมาก ๆ
มาคนเดียวก็พายเรือเที่ยวได้ แต่จะเหนื่อยนิดนึง
ความงามที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ แต่ต้องพายดี ๆ นะคะ เพราะอาจจะเปียกน้ำที่ไหลลงมาจากน้ำตกได้ค่ะ
น้องเป็ด จะมาลอยรอตรงบริเวณก่อนลงเรือ
การพายเรือ ค่าเรือเริ่มต้นที่ 3,000เยน/ลำ โดยเรือ 1 ลำนั่งได้ 3 คน เช่น ค่าโดยสาร 1 คน+เรือ= 4,000 เยน, ค่าโดยสาร 2 คน + เรือ= 5,000 เยน ฯลฯ ก่อนลงเรือจะต้องใส่ชูชีพด้วยค่ะ และตอนนี้ต้องวัดอุณหภูมิ พร้อมฉีดแอลกอฮอล์ล้างมือก่อนลงเรือด้วยค่ะ
จุดขายตั๋ว และตรวจเช็กอุณหภูมิก่อนลงเรือ
อ่านคำเตือนก่อนลงเรือ ทุกคนต้องวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ ใส่หน้ากากอนามัย และใส่ชูชีพคาดเอวก่อนลงเรือ
ใกล้ๆ กับจุดพายเรือที่  Takachiho เรายังสามารถเดินเล่นลัดเลาะในบริเวณใกล้เคียงชื่นชมธรรมชาติได้อีกด้วยนะคะ จริง ๆแล้วหุบเขา Takachiho  มีอาณาบริเวณยาวถึง 7 กิโลเมตร แต่เส้นทางที่เราสามารถเดินชมได้อยู่ที่ 1.2 กิโลเมตรเท่านั้นจากเส้นทางเดินนี้เราก็สามารถถ่ายรูปวิวด้านบนที่มองเห็นคนพายเรืออยู่ด้านล่างได้ เดินชมธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ได้เห็นริ้วของลาวาที่หลงเหลือไว้ให้เราได้ชมกันอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ามีทั้งริ้วแนวตั้งและริ้วแนวนอนเป็นร่องรอยของสิ่งที่เกิดขึ้นเองธรรมชาติที่หลงเหลือให้เราได้ชมกันแบบ Unseen สุด ๆ ไปเลยค่ะ
ป้ายหินของ Takachiho อย่าลืมแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันนะคะ

ได้เห็นวิวสวนสไตล์ญี่ปุ่น มีบึงน้ำ ปลา และก้อนหิ้นเรียงรายไว้ให้ชมอย่างสวยงาม

สวนสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีปลาในบ่อน้ำด้วย
แผนที่บอกถึงอาณาบริเวณ Takachiho ที่เราสามารถเดินแวะเที่ยวชมกันได้
ใกล้ ๆ กับสวนญี่ปุ่นและบึงน้ำจะมีจุดแขวนแผ่นหิน ทั้งเป็นรูปหัวใจ และเป็นรูปคอมม่า เพื่อขอพรให้สมหวัง แผ่นละ 100เยน
นี่คือเส้นทางที่เราจะเดินกันไปค่ะ ทางเดินมีทั้งบันไดขึ้นลง และทางตรงด้วย ได้ชมธรรมชาติแบบใกล้ชิดเลย
เราก็จะได้มองเห็นเรือที่พายอยู่ด้านล่างด้วยนะ
ว้าว มุมนี้ก็สวย สงบมาก ๆ เห็นหินลาวาอย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว

กำแพงหินที่เราเห็นอยู่เกิดจากการที่ภูเขาไฟ Aso ระเบิดและลาวาก็ไหลมาทับถมกันเป็นทางยาวกว่า 50 กิโลเมตรอย่างที่กล่าวไปข้างต้น สำหรับร่องรอยที่เราเห็นที่ Takachiho จะสังเกตได้ว่า ริ้วของหินผานั้นมี 2 ริ้ว คือแนวตั้ง และแนวนอน โดยภูเขาไฟ Aso ระเบิดทั้งหมด 4 ครั้ง แต่ร่องรอยที่อยู่ที่กำแพงหินที่นี่ด้านล่าง ริ้วแนวหินแบบตรงเกิดจากลาวาของการระเบิดภูเขาไฟ Aso ครั้งที่ 3 หรือประมาณ 120,000 ปีก่อน ส่วนริ้วแนวนอนด้านบนเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ Aso  ครั้งที่ 4 ถ้านับจากปัจจุบันก็ประมาณ 90,000 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้เลยทำให้กำแพงหินผาที่ Takachiho มีริ้วไม่เหมือนกัน และจุดแนวกำแพงหินผาที่สูงที่สุดมีชื่อเรียกว่า Sennin no byoubuiwa อยู่ที่ความสูง 70 เมตรค่ะ กำแพงหินที่ Takachiho ถือว่าเป็นมรดกที่ธรรมชาติสรรสร้างไว้ให้เราได้ชมกันมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ

ร้ิวหินด้านล่างแนวตั้ง เกิดจากการะเบิดของภูเขาไฟ Aso ครั้งที่ 3 ประมาณ 120,000 ปีก่อน และริ้วหินแนวนอนด้านบน เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ Aso ครั้งที่ 4 หรือประมาณ 90,000 ปีก่อน

 

หิน Gihachi no Chikaraishi ที่มีน้ำหนัก 200 ตัน ที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นหินที่เทพเจ้ายกมาวางไว้ที่นี่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุด view point  ที่น่าชม เพราะหินใหญ่และหนักขนาดนี้ คงไม่มีใครแบกมาวางไว้ที่ริมผาแบบนี้ได้ ก็เป็นเรื่องที่เล่าขานกันมานมนานของชาวญี่ปุ่น ถ้ามีโอกาสมาเยือนที่นี่ก็อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปเช็กอินเป็นที่ระลึกกันนะคะ

ก้อนหิน Gihachi no Chikaraishi ที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเทพเจ้าแบกมาวางไว้ที่นี่
ถ่ายแบบไกล ๆ ออกไป หินก้อนใหญ่มาก ๆ นะคะเนี่ย จะเอารถขนหินแบกมาวางก็คงจะยากเพราะทางเดินแคบ รถเข้ามาไม่ได้แน่ ๆ หรือเทพเจ้าจะแบกมาวางเอาไว้จริง ๆ
เมื่อแสงแดด ตกกระทบน้ำ สวยงามมาก ๆ

 

โอ้โห เห็นสะพานซ้อนด้วยค่ะ สิ่งก่อสร้างที่อยู่ตรงหน้าคือเป้าหมายที่เราจะไปแวะพักกัน
การเดินทาง: ถ้าไม่เช่ารถขับเที่ยว อาจจะเดินทางไปยากสักหน่อยแต่ก็ไปได้ค่ะ (ถ้าเช่ารถมามีที่จอดรถนะคะ) นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Nobeoka แล้วต่อรถบัส ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือนั่งรถไฟลงที่สถานี Kumamoto แล้วต่อรถบัสประมาณ 3 ชั่วโมง
ใครจะขึ้นแท็กซี่ ก็มีบริการด้วยนะคะ ติดต่อที่ 0982-729-001 แต่แท็กซี่จะพูดภาษาอังกฤษได้ไหมลุ้นกันอีกทีค่ะ อาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนละแวกนั้นอีกทีเนอะ
เว็บไซต์ : Takachiho-kanko
พิกัดจาก Google map:https://goo.gl/maps/4k46ntz6AzgsWXvC7

2.ชิมเมนูท้องถิ่นไก่นัมบัง ไก่โทริโนะมารุยากิ และชิมชาในกระบอกไม้ไผ่

ใกล้เวลาเที่ยงแล้วท้องเริ่มร้องหลังจากพายเรือและเดินขึ้น ๆ ลง ๆ มาสักพัก ก็เลยหาร้านอาหารเพื่อชิมเมนูท้องถิ่นกัน ราเลยแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ร้าน Araragi no chaya (あららぎ乃茶屋) เป็นร้านที่อยู่ติดกับลานจอดรถค่ะ ข้อดีของร้านนี้ก็คือ มีที่นั่งทั้งแบบ indoor และ outdoor ถ้าใครหนาวก็นั่งด้านในร้านรับไออุ่นจากฮีทเตอร์ แต่ถ้าใครอยากดื่มด่ำกับธรรมชาติก็นั่งด้านนอกฟังเสียงลม เสียงน้ำกันได้ค่ะ

ซึ่งช่วงที่เราก็ใกล้วันคริสต์มาสพอดี ก็เลยสั่งเมนูไก่อบสูตรพิเศษของทางร้าน ซึ่งเป็น “ไก่โทริโนะมารุยากิ”  ไก่ปรุงรสมาแล้วเรียบร้อยใช้เวลาย่างนาน 4 ชั่วโมง เป็นเมนูที่มีชื่อเสียงของที่นี่ค่ะและทางร้านยังส่งขายไปทั่วประเทศอีกด้วยค่ะ  ความว้าวก็คือ ทางร้านเสิร์ฟมาแบบทั้งตัว ที่มีเสื่อไม้เล็ก ๆ ห่อเอาไว้ ซึ่งเราจะไม่ค่อยเห็นเมนูที่เป็นไก่ทั้งตัวในญี่ปุ่นมากนัก ส่วนใหญ่จะหั่นแบ่งแต่ละส่วนมาให้แล้วก่อนเสิร์ฟ แต่ว่าเมนูนี้ทางร้านเสิร์ฟมาทั้งตัวค่ะ และสามารถใช้มือแบ่งไก่ออกได้ ด้วยความที่เนื้อไก่นั้นนิ่ม มีความชุ่มฉ่ำอยู่แล้ว เลยทำให้ไม่ใช่เรื่องยากในการแบ่งเนื้อไก่ออกเป็นชิ้น ถือว่าเป็นเมนูที่น่าลองค่ะ

ไก่โทริโนะมารุยากิ ไก่ย่างเมนูชื่อดัง อาหารท้องถิ่นของ Takachiho ใช้เวลาย่าง 4 นาที ความพิเศษคือไก่นุ่ม ชุ่มฉ่ำ หอมเครื่องเทศ

นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่มท้องถิ่นที่น่าลองก็คือ ชาที่เสิร์ฟมาในกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งจะมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ และยังมีสาเก “คัปโปะสาเก” ที่เสิร์ฟแบบอุ่นในนกระบอกไม้ไผ่ด้วยเป็นอะไรที่ท้องถิ่นมากๆ ถ้าไม่มาที่นี่ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองเมนูเหล่านี้แน่ ๆ ค่ะ

นำไม้ไผ่มาทำแบบนี้ ก็เก๋ดีนะคะ

 

“อารารากิ เทโชกุ” เสิร์ฟมาพร้อมกับ “ชิกินนัมบัง” หรือไก่นัมบัง เมนูที่มีการผสมผสานความเป็นตะวันตกเป็นไก่ทอดที่เนื้อนุ่ม ที่ราดมายองเนสด้านบนของไก่ทอด และสลัดผักมาแกล้มกันด้วย เมนูท้องถิ่นชื่อดังของจังหวัดมิยาซากิเค้าเลยค่ะ ภายในเซ็ตยังมีข้าวในกระบอกไม้ไผ่ มีปลาเทราส์ย่าง ที่จับได้มาจากแม่น้ำแถวนี้ และผักดองของแกล้มในเซ็ตด้วย
อาหารเซ็ต อารารากิ เทโชกุ เมนูของร้าน เซ็ตใหญ่จัดเต็มมาก ๆ ได้ลอง ไก่นัมบังแล้ว ฟินมากมายค่ะ
พิกัดจาก Google map: https://goo.gl/maps/QWToCBk3W1TFodN27

3.เรียงหินขอพรให้สำเร็จสมหวังที่ถ้ำในตำนาน ต้นกำเนิดประเทศญี่ปุ่น 

ถ้าจะเอ่ยถึง ถ้ำอามะโนะ ยะสึคาวาระ (Amano yasu kawara ,天安河原) น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าได้กล่าวถึงเรื่องราวในตำนานเกี่ยวกับเทพอามะเทระสึ หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ และศาลเจ้าอามะโนะ อิวาโตะ (天岩戸神社, Amano Iwato Jinja) ศาลเจ้าที่เป็นต้นกำเนิดของประเทศญี่ปุ่นและมีเทพอามะเทระสึ อยู่ที่นี่ หลาย ๆ คนอาจจะร้องอ๋อ เพราะถ้ำที่ว่านี้อยู่ไม่ไกลจากศาลเจ้านัก เป็นถ้ำที่เหล่าทวยเทพ 800 องค์มารวมตัวกันปรึกษาหารือเพื่อให้เทพดวงอาทิตย์ ที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น ออกมาส่องแสงอีกครั้ง 

ถ้ำอามะโนะ ยะสึคาวาระ ตั้งอยู่เลียบแม่น้ำ Iwato ระหว่างทางเดินไปยังถ้ำแห่งนี้จะผ่านธรรมชาติที่สวยงดงาม มีสะพานหิน Taiko Bridge เป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปที่สวยงาม

สะพานหิน Taiko Bridge

เมื่อมาถึงถ้ำจะเจอศาลเจ้าเล็ก ๆ และมีเสาโทริอิให้เราเข้าไปสักการะขอพรกันด้วย ถ้ำมีขนาดกว้าง 40 เมตร ลึก 30 เมตร เป็นที่รวมตัวของเหล่าทวยเทพ 800 องค์ที่มาปรึกษาหารือกัน และขึ้นชื่อเกี่ยวกับ “คำขอที่สำเร็จสมหวัง”  ซึ่งไม่ไกลจากศาลเจ้าอามะโนะ อิวาโตะ เดินประมาณ 10 นาที

เมื่อมาถึงโดยถ้ำอามะโนะ ยะสึคาวาระ นี้เราจะได้เห็นเหล่าบรรดากองหิน ที่ผู้มาเยือนนำมาตั้งเรียงไว้ โดยมากจะนิยมเรียงเป็นเลขคี่ 3, 5, 7,9 ฯลฯ โดยมีความเชื่อความศรัทธาที่ว่า หากเรียงได้สำเร็จ หินไม่ล้ม ส่ิงที่ขอพรนั้นก็จะสำเร็จสมหวัง ดั่งเหล่าทวยเทพที่มารวมตัวกันและออกกลยุทธ์ ให้เทพแห่งดวงอาทิตย์นั้นออกมาจากที่ซ่อนได้สำเร็จนั่นเอง  …หากใครมีโอกาสมายังเมือง Takachiho จังหวัด Miyazaki แล้วก็อย่าลืมแวะมาขอพรกันที่นี่นะคะ เป็นความสุขทางใจและสดชื่นสดใสไปกับธรรมชาติที่แวดล้อมจริง ๆ เลยจ้า 

เรียงหินเป็นเลขคี่ แล้วอธิษฐานขอพรให้สำเร็จสมหวัง
เรียงที่พื้นมันธรรมดาไป ต้องไปเรียงวางบนขอบกำแพง

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม :

ถ้ำ Amano yasu kawara มีตำนานที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาว่าเป็นถ้ำที่อยู่ใกล้ ๆ กับถ้ำที่เทพอามะเทระสึ (Amaterasu) หรือที่เรารู้จักกันในนามเทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพสำคัญของศาสนาชินโต ได้เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่จึงให้โลกนั้นมืดมิดไม่มีแสงไฟ จึงทำให้เหล่าบรรดาเทพ และเทพธิดา นัดรวมตัวกันที่ถ้ำแห่งนี้ หลังจากที่ได้ปรึกษาหารือ ร่วมกันออกกลยุทธ์ และหาวิธีการที่จะทำให้เทพอามะเทระสึนั้น ออกมาจากการหลบซ่อนในถ้ำโดยการ ร่ายรำ Amanoiwato kagura (天の岩戸神楽) ส่งเสียงร้องรำทำเพลง อย่างสนุกสนาน เพื่อให้เทพอามะเทระสึได้ยินเสียงเพลงจาก การร่ายรำ จึงยอมออกจากถ้ำเพื่อมาชมระบำและทำให้โลกมีแสงสว่างสดใสเกิดขึ้นมานั่นเอง และนี่ก็เป็นตำนานที่เล่าขานกันต่อ ๆ มาค่ะ 

เว็บไซต์https://amanoiwato-jinja.jp/

การเดินทาง : จากสถานี Nobuoka  นั่งรถบัสMiyazaki Kotsu Route Bus ที่ Takachiho bus center ขึ้นบัสที่มุ่งหน้ามายัง Amanoiwato Shrine

พิกัด Amano iwato shrine จาก Google maphttps://goo.gl/maps/1owvkKV2dQAmQJ879

 

พิกัด Amano yasu kawara จาก Google map:https://goo.gl/maps/ez14Zwkct5uHbgQs6

4.เกาะแห่งความสมหวัง “叶” ที่ The Sea of  Cruz Miyazaki

ชมจุดชมวิวสุดว้าวบนเกาะโฮโซชิมะ ที่มีเรียกสั้น ๆ ว่า Cruz of the sea หรือ The sea cross where wish come true ที่จังหวัดมิยาซากิ ในภูมิภาคคิวชูกันค่ะ ที่นี่เป็นจุดชมวิวที่หลาย ๆ คนต่างก็แวะมาเช็กอินกัน เพื่อขอพรให้ความหวัง ความฝันนั้นเป็นจริง ด้วยความพิเศษของเกาะที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวคันจิญี่ปุ่น “叶” หรือดูอีก ๆ ก็มีความคล้ายกับไม้กางเขน 

เผื่อว่าใครขับรถมา ดูตามป้ายบอกทางนี้ได้เลยค่ะ
ชอบป้ายอธิบายความหมาย มีภาษาอังกฤษให้อ่านด้วย

ชมคลิปรีวิวได้ที่นี่ค่ะ :

 

The Sea cross Where wish come true  บ้างก็เขียนว่า The Sea of ​​Cruz Miyazaki ที่นี่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่โรแมนติก และเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อนี้ก็แปลตรงตัว มาจากรูปลักษณะของตัวหินที่ถูกคลื่นกัดเซาะ จนหินนั้นครอสกันเหมือนไม้กางเขน และคนญี่ปุ่นก็มองเห็นกลุ่มหินนี้คล้ายกับตัวคันจิ ” ” ที่อ่านออกเสียงว่า คานาอุ ที่มีความหมายว่า ความสมหวัง ความฝันเป็นจริง

มองมุมนี้พอจะเหมือนตัวคันจิ 叶 ไหมนะ

เลยยิ่งทำให้จุดชมวิวนี้มีเสน่ห์ มีความหมาย และหลาย ๆ คนที่กำลังท้อ ต้องการกำลังใจ ก็แวะเวียนมาเติมเต็มพลังใจ สั่นกระดิ่งขอพร ให้กับตนเอง คนรัก และครอบครัว ที่นี่ก็เลยกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กของเมือง Hyuga จังหวัด Miyazaki ที่ใครมาเยือนแล้วต้องห้ามพลาดค่ะ พวกเราก็ขอส่งกำลังใจ และขอพรให้เพื่อน ๆ สำเร็จสมหวังเช่นกันนะคะ

อย่าลืมมาสั่นกระดิ่งขอพรให้สมหวังนะคะ
เป็นเหมือนกิมมิคของที่นี่เค้าเลยล่ะค่ะ
ไม่ว่าจะมาเดี่ยว มาคู่ มาเป็นครอบครัว ก็มาสั่นกระดิ่งได้นะ

เว็บไซต์ : https://www.hyugacity.jp/display.php?…

การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Hyuga City Station ขับรถต่อไป 20 นาที 

พิกัดจาก Google map: https://goo.gl/maps/eXueoRr2JHK7DMEKA

 

5.แวะสักการะศาลเจ้า Aoshima และชมกระดานซักผ้าของยักษ์

ขอพรศาลเจ้าแห่งความรักหนึ่งเดียวแห่งเกาะ Aoshima ที่เป็น Power spot และห้ามพลาดของคู่รักถ้ามาเยือนจังหวัดมิยาซากิ เพราะที่นี่มีศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่ยื่นลงไปในทะเล นั่นก็คือ ศาลเจ้า Aoshima  ที่ภายในมีจุดขอพรในเรื่องต่าง ๆ เยอะแยะมากมาย เริ่มจากจุดขอพรความรักที่เราจะเห็นได้ตั้งแต่เลี้ยวเข้ามาในตัวศาลเจ้า โดยมีโค้งรูปหัวใจที่คู่รักต้องแวะมาขอพรกันที่จุดนี้

จุดถ่ายรูปมุมนี้ ได้ทำเสาโทริอิ และ ริ้วหิน กระดานซักผ้าของยักษ์เลย

 

จุดขอพรความรักอยู่ตรงนี้ มีแต่ต้นปาล์มคู่
ศาลเจ้า Aoshima ให้บรรยากาศไม่เหมือนกับศาลเจ้าอื่น ๆ ในญี่ปุ่นเพราะต้นปาล์ม มีความทะเลจริง ๆ

ต่อกันด้วยจุดยกหินเสี่ยงทาย คล้ายกับยกพระเสี่ยงทายที่เมืองไทย ถ้าสิ่งที่ขอสำเร็จผลเราจะยกหินนั้นขึ้นมาได้เบาแบบไร้น้ำหนัก แต่ถ้าสิ่งที่ขอไม่สำเร็จก็ไม่สามารถยกหินนั้นขึ้นมาได้ หรือในทางตรงกันข้ามก็แล้วแต่เราจะอธิษฐานนะคะ (อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ใครสะดวกใจแบบไหนก็ตามสบายเลยค่ะ)

ยกหินเสี่ยงทายอยู่ตรงนี้
อธิษฐานก่อนยก

ต่อมาอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของการถ่ายภาพเมื่อมาเยือนที่ศาลเจ้านี้ก็คือ ซุ้มแผ่นป้ายเอมะ ที่มีผู้คนมาแขวนไว้จนแน่นเต็มพื้นที่ไปหมดเลย จนกลายเป็นอีกหนึ่งจุดที่สายถ่ายภาพชื่นชอบมาก ๆ ถ้าได้มาเยือนจุดนี้แล้วต้องถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกัน

อุโมงแผ่นป้ายเอมะอยู่ตรงนี้

เดินลอดซุ้มแผ่นป้ายเอมะไปอีกนิดก็จะเจอศาลเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า โมโตะมิยะ ตรงจุดนี้ก็จะมีโซนเสี่ยงทายที่เป็นไฮไลท์ก็คือ การโยนจานให้เข้าไปยังช่องหินที่อยู่บริเวณ Doukajyo ถ้าจานที่โยนเข้าจะถือว่าจะสำเร็จสมหวัง แต่มีข้อแม้ว่า จานที่โยนต้องแตกด้วยจะได้โชคดี

ศาลเจ้าเล็ก ๆ อีกหนึ่งแห่งที่อยู่ด้านในถ้าเดินลอดซุ้มแผ่นป้ายเอมะแล้ว

ซุ้มสำหรับคนที่อยากเสี่ยงทาย อยู่ตรงนี้
จุดที่ใช้โยนจาน หรือ เปลือกหอย
อธิษฐานก่อนโยนนะคะ

หรือบริเวณใกล้ ๆ กันก็จะมีต้นปาล์มคู่ ที่มีความเชื่อว่าถ้าเรานำเชือกมาผูกก็จะได้ตามสิ่งที่เราขอ โดยการผูกเชือกขอพรนั่นก็จะมีเชือกสีแตกต่างกันไปโดยแบ่งตามนี้ สีม่วง ขอพรเรื่องสุขภาพ, สีเขียว ขอพรเรื่องการเรียน การงาน, สีเหลือง ขอพรเกี่ยวกับการค้าและการเงิน, สีชมพู ขอพรให้พบรัก พบคู่ ชีวิตรักสมหวัง และขอให้คลอดลูกง่าย สีสุดท้ายคือสีขาว ขอให้สำเร็จสมหวัง

ต้นปาล์มคู่
เชือกสีต่าง ๆ เพื่อขอพรตามแต่สิ่งที่ใจปรารถนา
จากศาลเจ้ามองออกไปยังทะเลก็จะได้เห็นวิวแบบนี้

อีกหนึ่งจุดที่ว้าวไม่แพ้ power spot ในศาลเจ้าก็คือ ถ้าระดับน้ำทะเลลดลง เราก็จะเห็นแผ่นหินที่ดูเป็นริ้ว ๆ เป็นทางยาวคล้ายกับกระดานซักผ้า ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Oni no Sentaku ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของ Aoshima นี่ด้วยล่ะค่ะ ริ้วหินที่เราเห็นกันอยู่นี้คือชั้นหินที่อยู่ใต้ทะเลเมื่อ 700 ปีก่อน

กระดานซักผ้าของยักษ์ ก็มีความเหมือนอยู่นะเนี่ย
มองจากแผ่นดินไปยังเกาะที่มีศาลเจ้าอยู่ก็จะได้เห็นวิวแบบนี้ค่ะ
เสาโทริอิที่บ่งบอกว่าเข้าสู่อาณาเขตของศาลเจ้า Aoshima แล้ว กับริ้วหินกระดานซักผ้าของยักษ์ที่อยู่ด้านข้าง

ก่อนกลับอย่าลืมแวะถ่ายรูปกับตู้ไปรษณีย์สีเหลืองที่ตั้งเด่นเป็นสง่าด้วยนะคะ ว่ากันว่าตู้ไปรษณีย์สีเหลืองนี้เป็นตู้ไปรษณีย์แห่งความสุขนั่นเองค่ะ ใครอยากส่งความสุขก็อย่าลืมนำจดหมาย โปสการ์ดมาหย่อนที่ตู้ไปรษณีย์นี้นะคะ

ตู้ไปรษณีย์สีเหลืองแห่งความสุข
อย่าลืมแวะมาส่งไปรษณีย์กันที่นี่นะคะ

การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี Aoshima. แล้วเดินต่อมายังศาลเจ้าใช้เวลาประมาณ 17 นาที

พิกัดจาก Google map: https://goo.gl/maps/oCUdjtVg1wtJpZ3V6

6.โยนหินเสี่ยงทาย ที่ศาลเจ้า Udo มรดกของชาติ

Udo jingu  ศาลเจ้ามีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดมิยาซากิที่ใครมาต้องแวะมาสักการะขอพรกันที่นี่ ศาลเจ้าแห่งนี้ที่ตั้งอยู่ริมทะเล มีตำนานเล่าขานมากมายเกี่ยวกับศาลเจ้านี้ว่า เจ้าหญิงโอะโตฮิเมะ เจ้าหญิงถ้ำมังกร ขี่เต่ามาคลอดลูกที่ถ้ำแห่งนี้ และก็มีความเชื่อที่ว่าลูกของเจ้าหญิงน่าจะเป็นพ่อของจักรพรรดิจิมมุ จักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่นในตำนานนั่นเอง 

ศาลเจ้าตั้งอยู่ในถ้ำนี้ค่ะ
ประตูทางเข้าศาลเจ้าอยู่ด้านบน เราต้องเดินต่อไปอีกสักนิดกว่าจะถึงศาลเจ้าที่อยู่ในถ้ำ
ประตูเข้าศาลเจ้าที่สวยงามมาก ๆ เลยค่ะ

ศาลเจ้าตั้งอยู่ในถ้ำที่อยู่ติดกับทะเล กว่าจะเดินไปถึงก็ใช้เวลากันสักหน่อย แต่วิวระหว่างทางก็สวยไม่แพ้ใครเลยทำให้ลืมความไกลนั้นไปได้เลยค่ะ

ทางเดินลงบันไดเพื่อเข้าสู่ศาลเจ้าที่อยู่ในถ้ำ
กว่าจะเดินถึงตรงนี้อาจจะมีเหนื่อยนิดหน่อย
ถึงแล้วค่ะ ศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในถ้ำ
ศาลเจ้าแห่งนี้อยู่ภายในถ้ำขอพรกันได้เลยค่ะ
อย่าลืมเดินวนไปด้านหลังของศาลเจ้าแห่งนี้ด้วยนะคะ

ภายในศาลเจ้าที่อยู่ในถ้ำก็มีหิน  2 ก้อนที่มีลักษณะคล้ายกับเต้านมและมีน้ำไหลหยดลงมา ปัจจุบันก็ยังมีน้ำไหลลงมาอยู่ ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Ochichi – iwa จากตำนานที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาเลยทำให้มีพ่อแม่หลายๆ คนเดินทางไปที่ศาลเจ้าเพื่ออธิษฐานขอให้ลูกของตนคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย และให้เติบโตมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง และยังมีความเชื่อกันอีกว่าการดื่มน้ำที่ไหลจากหินทั้ง 2 ก้อนนี้ก็จะช่วยให้คำอธิษฐานข้างต้นเป็นจริง และศาลเจ้า Udo ยังเป็นที่นิยมสำหรับคู่รัก คู่แต่งงาน มาขอพรให้มีความราบรื่นในการใช้ชีวิตคู่ 

จะเรียกได้ว่าศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับการขอพรเพื่อผู้หญิงโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้อย่างที่กล่าวไปข้างต้น และศาลเจ้าแห่งนี้ยังได้รับเลือกเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมชองชาติ” อีกด้วยค่ะ 

บริเวณหินรูปเต้านมที่อยู่ด้านหลังศาลเจ้าภายในถ้ำ
หินรูปเต้านม ที่มีน้ำหยดลงมา ที่มีความเชื่อกันว่าหญิงคลอดบุตรมาขอพรให้มีน้ำนมเพียงพอต่อการเลี้ยงลูกที่นี่ได้

 

ไฮไลท์ของศาลเจ้าแห่งนี้ก็คงจะอยู่ที่หินเสี่ยงทาย ที่มีชื่อว่า อุนดะมะ (Undama, 運玉 ) หนึ่งชุดจะมีหิน 5 ก้อน ราคา 100เยนสามารถซื้อได้จากศาลเจ้าที่อยู่ในถ้ำ จากนั้นก็ให้ตั้งใจอธิษฐานขอพรสิ่งที่อยากได้ไว้ในใจ แต่ก่อนโยนเราต้องโยนให้ถูกวิธีด้วยนะคะ สำหรับผู้ชายให้โยนด้วยมือซ้าย และผู้หญิงให้โยนหินด้วยมือขวา จุดที่เราจะโยนนั้นจะเห็นหินที่มีรูปร่างเหมือนเต่า เรียกว่า คาเมะอิวะ (亀岩) และมีเชือกคล้องอยู่ ตรงนั้นจะมีหลุมเล็ก ๆ เป้าหมายของเราอยู่ตรงนั้นค่ะ ถ้าโยนเข้าหลุมหินที่ว่านี้ พรที่เราอธิษฐานขอไว้ก็จะสมหวังนั่นเอง มีโอกาส 5 ครั้งลองเลยค่ะ

มาถึงแล้วต้องลองเสี่ยงทายดูนะคะ

ความน่ารักของศาลเจ้านี้เราจะเห็นรูปกระต่ายเต็มไปหมด เพราะมีความเชื่อที่ว่า กระต่ายเป็นผู้ส่งสารให้แก่พรเจ้า ดังนั้นจะมีไอเทมกระต่าย ๆ น่ารัก ๆ รวมถึงเครื่องรางด้วยค่ะ

ความน่ารักของกระต่าย ภายในศาลเจ้าแห่งนี้จะเต็มไปด้วยกระต่าย ผู้ส่งสารของพระเจ้า

 

การเดินทาง: นั่งรถบัส Miyazaki Kotsu ลงที่ป้าย Udo Jingu แล้วเดินต่อ 15 นาที โดยขึ้นรถบัสจากสถานี Aburatsu วิ่งตรงไปยังสถานี Miyazaki นั่งรถบัสใช้เวลา 20 นาที

พิกัดจาก Google maphttps://goo.gl/maps/jUXnvvmCkoi1JHPt5

7.ถ่ายรูปเก๋ ๆ ที่ซากปราสาทโอบิ ลิตเติ้ลเกียวโตแห่งคิวชู

ย่านเมืองเก่าที่ได้รับสมญานามว่า ลิตเติ้ลเกียวโตแห่งคิวชู นั่นก็คือเมือง Obi นั่นเองค่ะ ที่นี่มีที่เที่ยวโบราณที่น่าสนใจนั่นก็คือ ซากปราสาทโอบิ (Obi castle ruins) และย่านเมืองเก่า ในอดีตเขตเมืองเก่าบริเวณรอบ ๆ ตัวปราสาทโอบินั้น เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในยุคเอโดะ แต่ในปัจจุบันคงเหลือไว้เพียงแต่ซากของปราสาทที่ถูกบูรณะใหม่แล้ว โดยกำแพงมีหินกว่า 57,000 ก้อน และแวดล้อมเมืองเก่าไปด้วยบ้านของซามูไร ที่ปัจจุบันยังคงมีลูกหลานอาศัยอยู่จริง และบางหลังก็ส่งต่อให้ผู้อื่นดูแลปรับปรุงเป็นอย่างอื่นเช่น โรงแรม ฯลฯ แต่ก็ยังคงภูมิทัศน์เอาไว้เช่นเคย และเมือง Obi แห่งนี้ก็ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศอีกด้วยค่ะ

แผนที่เดินเที่ยวรอบ ๆ เมือง Obi
ย่านเมืองเก่า ที่ยังคงไว้ให้ได้เห็นในปัจจุบัน
ต้นไม้ที่ถูกดัดตกแต่ง ใช้เวลามาอย่างยาวนาน
บรรยากาศบริเวณบ้านเรือนโบราณในย่าน Obi
ต้นไม้ที่ถูกตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ

ปราสาทโอบิ (Obi Castle)ถูกสร้างขึ้นช่วงประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 เคยถูกทำลายด้วยแผ่นดินไหวแต่ได้รับการสร้างขึ้นใหม่ แล้วถูกทำลายลงอีกครั้งในยุคเมจิ (Meiji) ปัจจุบันยังคงเหลือแต่ซากกำแพง และทิวต้นสนที่พื้นปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียว แต่กลับได้รับความนิยมในการชื่นชมและกลายเป็น วิวที่สวยงามสำหรับคนที่ชอบถ่ายรูปและโพสต์ลงโซเชียลมีเดียนั่นเอง 

 

บริเวณทางเข้าปราสาท เราจะเห็นต้นสนขึ้น 4 มุม จุดนี้เป็น power spot รับพลังที่คนท้องถิ่นบอกว่าไม่ค่อยเห็นมากนัก
โซนต้นสนที่พื้นปกคลุมไปด้วยมอสสีเขียวเต็มไปทั่วบริเวณ จุดนี้ได้รับความนิยมในการถ่ายภาพมาก ๆ ค่ะ
เดินขึ้นไปอีกนิดก็มีโซนต้นสนที่เยอะ และอลังการมากจริง ๆ
ถ่ายมุมนี้ก็สวยดีเหมือนกันนะ
โซนบันไดก็สวยนะ
ก่อนกลับ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกันนิดนึง

การเดินทาง : ลงรถไฟที่สถานี Obi แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที

พิกัดจาก Google maphttps://goo.gl/maps/ZwnkXmX9iP6oQjDF6

8.แวะเยี่ยมปลาคราฟริมทางระบายน้ำ 

บริเวณโซนบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในเมืองเก่าของย่าน Obi  เราจะเห็นสองข้างทางมีทางระบายน้ำ ที่น้ำใสมาก ๆ แต่ไม่เพียงมีแต่น้ำที่ใสอย่างเดียวเท่านั้น ภายในทางระบายน้ำนั้นยังมีปลาคราฟที่ว่ายไปมาให้เราได้เดินชมกันด้วยค่ะ ถือว่าเป็นสีสันที่หาชมได้ยากคนที่รักปลา รักน้ำ รักธรรมชาติคงต้องฟินแน่ ๆ ค่ะ แต่ระหว่างถ่ายรูปก็ระมัดระวังรถที่วิ่งผ่านไปมา และอย่าส่งเสียงดังนะคะ เพราะแวดล้อมไปด้วยบ้านเรือนที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง ๆ

ถ้าเห็นป้ายแบบนี้ ก็ถือว่าเดินมาถูกทางแล้วค่ะ
ปลาคราฟตัวใหญ่ หลายตัวเลย
ปลาคราฟ ที่ทางระบายน้ำ อยู่บริเวณบ้านเรือนที่มีผู้คนอาศัยอยู่จริง ๆ

 

การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Obi เดินต่อไปได้ 13 นาที

พิกัดจาก Google maphttps://goo.gl/maps/guLu6TTLpU6wyhvSA

9.อร่อย ณ.เรือนซามูไร เมนูห้ามพลาดมิยาซากิกิว 

อร่อย ณ.เรือนซามูไร กับซอสสูตรเด็ดของตระกูล ที่ร้าน Bukeyashiki itotei ( 武家屋敷 伊東邸) ร้านอาหารชื่อดังของเมือง Nichinan  ที่ตั้งอยู่ในย่าน Obi ร้านอาหารที่ดูเหมือนบ้านในย่านซามูไร ซึ่งอดีตเคยเป็นบ้านของซามูไรมาก่อน แต่ปัจจุบันได้ถูกนำมาตกแต่งดัดแปลงเป็นร้านอาหาร และมีคาเฟ่ชาโดยมี 2 เมนูคู่บุญก็คือ Nama makuro don mabushi และ Miyazaki gyu don mabushi ที่มีวิธีการกินได้ 3 แบบที่น่าสนใจและเป็นกิมมิคของร้าน ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้ภายในร้านเป็นวัตถุดิบท้องถิ่นที่ทางร้านคัดสรรมาเป็นอย่างดี

ชมคลิปรีวิวได้ที่นี่

 

ก่อนที่เมนูจานหลักจะมาเสิร์ฟเราจะได้ชิมสลัดกันก่อน ทางร้านก็เสิร์ฟมาในขวด ที่ก่อนกินเราต้องเขย่าเป็นสาวเชค แล้วค่อยเทลงจานถือเป็นไอเดียที่ดีมาก ๆ ค่ะ เพราะทั้งผักและน้ำสลัดจะได้คลุกเคล้าเข้ากันได้เป็นอย่างดี และถือเป็นการวอร์มก่อนรับประทานอาหารอีกด้วย อิอิ

อาหารจานหลักมาเสิร์ฟกันแล้ว เริ่มกันที่เมนูแรก “Nama makuro don mabushi” เป็นเซ็ตเมนูปลามากุโระที่เสิร์ฟมาพร้อม ข้าว เครื่องเคียง ไข่แดง และซอสดาชิสูตรพิเศษของทางร้าน วิธีการกินก็กินได้ 3  แบบก็คือ วิธีแรกก็กินปลาดิบแบบปกติที่เรากินกัน จิ้มโชยุ แต้มวาซาบิ , วิธีที่สองก็คือ นำมาวางบนข้าวสวย ใส่ไข่แดง จะใส่น้ำซอสดาชิ หรือวาซาบิลงไปด้วยก็ได้แล้วแต่ชอบ โรยท็อปปิ้งด้วยต้นหอม หรือ สาหร่าย คล้ายกับข้าวดงบุริ และวิธีที่สามก็คือ เทน้ำซุปลงไปในชามเหมือนกับข้าวต้ม ใครชอบวิธีแบบไหนก็สามารถจัดกันได้เลยค่ะ ราคาเซ็ตละ 1,620 เยน

เมนูสำหรับสายเนื้อห้ามพลาดก็คือ Miyazaki gyu don mabushi เป็นการนำเนื้อมิยาซากิ อันเลื่องชื่อของจังหวัด เป็นเนื้อ A4 มาเสิร์ฟให้รับประทานกัน ราคา  2,480 เยน วิธีการกินก็เหมือนกับเซ็ตข้าวหน้าปลามากุโระเลยค่ะ สำหรับคนที่กินเมนูนี้บอกว่า หลงรักตั้งแต่คำแรกเพราะเนื้อละมุนมาก และอร่อยมาก ๆ จริง ๆ สมแล้วกับเป็นเนื้อที่ได้รางวัลและถือว่าเป็นอาหารท้องถิ่นของจังหวัดมิยาซากิที่ไม่ควรพลาดค่ะ

เมนูยอดฮิต Miyazaki gyu don mabushi
มิยาซากิกิว ที่ใครได้ลองเป็นต้องหลงรัก เนื้อระดับ A4 ที่เสิร์ฟภายในร้านแห่งนี้ เมนูที่คนรักเนื้อห้ามพลาดเลยค่ะ

การเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Obi เดินต่อไปได้ 13 นาที

เว็บไซต์http://www.itotei.com/obisaryo

พิกัดจาก Google maphttps://g.page/buke-itotei?share

นั่งรถไฟขบวนสุดพิเศษ รถไฟแห่งทะเลและขุนเขา Limited Express Umisachi Yamasachi

รถไฟขบวนสุดพิเศษที่ตกแต่งด้วยไม้
รถไฟขบวนสุดพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่มีชื่อว่า “Limited Express Umisachi Yamasachi” เป็นรถไฟสายสุดคลาสสิคของจังหวัดมิยาซากิ เริ่มให้บริการเป็นครั้งแรก ในวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2010 โดยรถไฟขบวนนี้วิ่งจากสถานี Nangou  – สถานี Miyazaki ถ้าใครแวะมาเที่ยวที่ Obi Castle ก็สามารถนั่งรถไฟขบวนนี้จากสถานีโอบิ (Obi Station) ไปยังสถานีมิยาซากิ (Miyazaki Station) ได้
มาถึงแล้วขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันนิดนึงค่ะ
ภายในขบวนมีการตกแต่งที่คลาสสิคมาก ๆ มีการตกแต่งด้วยไม้ให้บรรยากาศผ่อนคลายจนได้รับฉายาว่าเป็นรถไฟ Resort Limited Express และแบ่งตู้โดยสารเป็น 2 ตู้คือ “Umisachi, 海幸” และ “Yamasachi , 山幸” ใครเป็นแฟนคลับรถไฟคงต้องฟินแน่นอนค่ะ เพราะนอกจากจะได้เห็นความสวยงามบนรถไฟแล้วยังได้เห็นวิวระหว่างทางทั้งซ้ายและขวา ซึ่งเป็นธรรมชาติที่งดงามที่เราจะเพลิดเพลินได้ตลอดเส้นทางค่ะ
เราขึ้นรถไฟกันที่สถานี Obi เพื่อมุ่งหน้าสู่สถานี Miyazaki

จากชื่อที่มาของขบวนรถไฟสุดพิเศษนี้  “Umisachi (海幸) และ Yamasachi (山幸)”  ก็มีความหมายดังนี้
“Umisachi, 海幸” คือ ความสุขของทะเล
“Yamasachi , 山幸” คือ ความสุขของภูเขา
บรรยากาศระหว่างผ่านสถานีรถไฟ
ได้เห็นวิวทะเล
ป้ายสีฟ้าแบบนี้ ตู้ทะเลจ้า
บรรยากาศภายใต้ตู้ ธีมภูเขา
บรรยากาศผ่านทุ่ง ชมวิวภูเขา
ภายในของรถไฟขบวนนี้จะมีอยู่สองส่วนด้วยกันอย่างที่กล่าวไปข้างต้น “Umisachi (海幸) ตู้โดยสารด้านหน้าตกแต่งมาในธีมทะเลก็จะมีสีฟ้าเป็นธีมหลัก และตู้โดยสารตู้หลัง Yamasachi (山幸) ก็จะมีการตกแต่งมาในธีมภูเขา สีน้ำตาลคลาสสิค โดยทั้งสองตู้โดยสารจะมีการตกแต่งภายในด้วยไม้ทั้งพื้น กำแพง เก้าอี้โดยสารที่ให้ความรู้สึกที่คลาสสิคมาก ๆ แต่ความเป็นไม้ก็ไม่ได้มีแค่ภายในขบวนเท่านั้น ภายนอกรถไฟก็เป็นไม้ด้วยค่ะ ซึ่งไม่เคยเห็นรถไฟเป็นไม้แบบนี้มาก่อน ภาพจำของรถไฟที่หลาย ๆ คนรู้จักก็คือ “ม้าเหล็ก” ทำด้วยเหล็กเท่านั้น แต่รถไฟขบวนนี้ถูกเนรมิตไปด้วยไม้เลยเพิ่มความว้าวเข้าไปอีกค่ะ
ตู้นี้เป็นตัวแทนแห่งขุนเขา จะตกแต่งด้วธีมสีน้ำตาล
ตู้รถไฟที่ตกแต่งในธีมทะเล มาในธีมสีฟ้า
ในระหว่างที่เรานั่งรถไฟ พนักงานของรถไฟก็จะมาสร้างสีสันและรอยยิ้มให้เราร่วมเล่นเกมส์ แจกของรางวัลน่ารัก ๆ เป็นที่ระลึกให้เราสนุกและยิ้มไปด้วย มีโซนประทับตราแสตมป์สำหรับสายสะสมตราประทับที่ระลึก หรือถ่ายภาพกับแผ่นป้ายที่จะมีวันที่ที่เราไปเยือน มีขนม และเครื่องดื่มให้เราสามารถซื้อและกินบนรถไฟได้ นอกจากนี้เราก็จะได้เห็นวิวธรรมชาติตั้งแต่ภูเขาและป่าไม้ ไปถึงทะเลและชายหาดตลอดทั้งเส้นทาง นี่จึงเป็นเหตุผลและที่มาของชื่อรถไฟขบวนสุดพิเศษขบวนนี้นั่นเองค่ะ ดูรายละเอียดของรถไฟขบวนนี้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ด้านล่างนี้ค่ะ
ร่วมเล่นเกมส์ ดึงบัตรทาย ถ้าทายถูกก็จะได้ลูกอมเป็นของที่ระลึก
ตราประทับที่ระลึก บนรถไฟ ใครเป็นแฟนคลับรถไฟไม่ควรพลาด
ชีสเค้ก ก็อร่อยนะไปลองกัน
มิยาซากิ มะม่วงเค้าดังค่ะ เลยมีไอเทมมะม่วงออกมาจำหน่ายด้วยในขวดนี้คือ น้ำมะม่วง
ส่งท้ายด้วยวิวจากสถานีรถไฟ Miyazaki พร้อมเห็นวิวต้นปาล์มสัญลักษณ์ประจำจังหวัดที่เราจะเห็นได้ตลอดเส้นทางที่มาเยือนมิยาซากิ

ติดตามพวกเราได้ที่

Facebook  Youtube  Instagram  Twitter

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.